เรือนไทยภาคใต้
ภาคใต้ของประเทศไทยมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างไปจากภาคอื่น
ๆ ของประเทศ กล่าวคือ มีลักษณะเป็นแหลมหรือคาบสมุทรยื่นออกไปจนจรดประเทศมาเลเซีย
ล้อมรอบด้วยฝั่งทะเล โดยมีอ่าวไทยอยู่ทางฝั่งทะเลตะวันออก
และทะเลอันดามันอยู่ทางฝั่งทะเลตะวันตก
ด้านสภาพภูมิอากาศของภาคใต้เป็นอาณาบริเวณที่มีอากาศร้อนฝนตกชุก ความชื้นสูงมี 2 ฤดู ได้แก่
ฤดูร้อนและฤดูฝน ในฤดูร้อนอากาศจะไม่ร้อนจัดเหมือนภาคอื่น
เนื่องจากได้รับการถ่ายเทความร้อนจากลมทะเลที่พัดผ่านอยู่ตลอดเวลา
ในฤดูฝนฝนจะตกชุกมากกว่าภาคอื่น ทั้งนี้เพราะได้รับลมมรสุมตะวันตกเฉียงเหนือ
และลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะทางภูมิศาสตร์และภูมิอากาศดังกล่าวนี้
มีอิทธิพลสำคัญต่อการกำหนดรูปแบบเรือนพักอาศัยของประชาชนในภาคใต้ เช่น
การออกแบบรูปทรงหลังคาให้คาให้ลาดเอียงมาก
เพื่อระบายน้ำฝนจากหลังคาการการใช้ตอม่อหรือฐานเสาแทนที่จะฝังเสาเรือนลงไปในดิน
ฯลฯ
ด้านสภาพสังคมและวัฒนธรรม
ประชากรในภาคใต้มีทั้งชาวไทยพุทธ ชาวไทยเชื้อสายจีน และชาวไทยมุสลิม
ชาวไทยเหล่านี้มีขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อที่แตกต่างกัน
โดยเฉพาะชาวไทยมุสลิมจะได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีอาณาเขตติดต่อกับภาคใต้
ได้แก่ มาเลเซีย ซึ่งส่งผลให้เรือนพักอาศัยของชาวไทยใน 4 จังหวัดภาคใต้ หรือ “เรือนไทยมุสลิม” มีลักษณะร่วมกับเรือนพักอาศัยทางตอนเหนือของมาเลเซีย
บ้านเรือนนับเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญของมนุษย์
เพื่อป้องกันอันตรายจากลมฟ้าอากาศและสัตว์ร้ายซึ่งต้องเหมาะสมกับลักษณะภูมิประเทศ
ดินฟ้าอากาศ ตลอดจนจารีตประเพณีทางสังคม และรูปแบบการดำเนินชีวิต
สำหรับเรือนไทยมุสลิม นอกจากจะสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ดังกล่าวแล้ว
ยังสะท้อนให้เห็นอิทธิพลของศาสนาอิสลามที่มีต่อการสร้างบ้านเรือนอย่างแท้จริง
ทั้งในรูปแบบการใช้พื้นที่ การอยู่อาศัย การประกอบกิจกรรมในการดำรงชีวิต
และการประดับตกแต่งตัวเรือนให้งดงาม โดยทั่วไปเรือนมุสลิมมักเป็นเรือนแฝด
และสามารถต่อขยายไปได้ตามลักษณะของครอบครัวขยาย โดยมีชานเชื่อมต่อกัน
และมีการเล่นระดับพื้นเรือนให้ลดหลั่นกันไป เช่น
พื้นบริเวณเฉลียงด้านบันไดหน้าแล้วยกพื้นไปเป็นระเบียง
จากพื้นระเบียงจะยกระดับไปเป็นพื้นตัวเรือนจากตัวเรือนจะลดระดับไปเป็นพื้นครัว
จากพื้นครัวจะลดระดับเป็นพื้นที่ซักล้าง ซึ่งอยู่ติดกับบันไดหลัง
การลดระดับพื้นจะเห็นได้ชัดว่า มีการแยกสัดส่วนจากกันในการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ
บางตัวเรือนเมื่อสร้างตัวเรือนหลักเสร็จแล้ว
ยังต้องกำหนดพื้นที่ให้เป็นบริเวณที่ใช้ทำพิธีละหมาด ซึ่งเป็นกิจวัตรที่ต้องกระทำวันละ
5 ครั้ง
ส่วนการกั้นห้องเพื่อเป็นสัดส่วนเรือนไทยมุสลิมจะกั้นแต่ที่จำเป็นนอกนั้นจะปล่อยพื้นที่ให้โล่ง
เพราะชาวไทยมุสลิมใช้เรือนเป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนา
นอกจากนั้นยังไม่นิยมตีฝ้าเพดาน เพราะภาคใต้มีอากาศร้อนและฝนตกชุก อากาศจึงอบอ้าว
และมักจะเว้นช่องลมใต้หลังคาให้ลมโกรกอยู่ตลอดเวลา การที่ตัวเรือนยกพื้นสูง
ชาวไทยมุสลิมจึงสามารถใช้ใต้ถุนประกอบกิจกรรมต่าง ๆ
ที่ส่งเสริมการดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดี เช่น ใช้เป็นบริเวณประกอบอาชีพเสริม คือ
ทำกรงนก สานเสื่อกระจูด หรืออาจใช้วางแคร่เพื่อพักผ่อน บางบ้านอาจกั้นเป็นคอกสัตว์
เป็นต้น
เนื่องจากประเพณีความเป็นอยู่ของชาวไทยมุสลิมจะแยกกิจกรรมของชายหญิงอย่างชัดเจน
ตัวเรือนจึงนิยมมีบันไดไว้ทั้งทางขึ้นหน้าบ้านและทางขึ้นครัว
โดยทั่วไปผู้ชายจะใช้บันไดหน้า ส่วนผู้หญิงจะใช้บันไดหลังบ้าน
รวมทั้งเป็นการไม่รบกวนแขกในการเดินผ่านไปมาอีกด้วย
ลักษณะเด่นทางสถาปัตยกรรมของเรือนไทยมุสลิม คือ
การสร้างเรือนโดยการผลิตโดยการผลิตส่วนประกอบของเรือนก่อน แล้วจึงนำส่วนต่าง ๆ
เหล่านั้นขึ้นประกอบกันเป็นตัวเรือนอีกทีหนึ่ง ขณะเดียวกัน
เมื่อต้องการย้ายไปประกอบในพื้นที่อื่น ๆ ตัวเรือนก็สามารถแยกออกได้ส่วน ๆ
ได้เสาเรือนจะไม่ฝังลงดิน แต่จะเชื่อมยึดต่อกับตอม่อหรือฐานเสาเพื่อป้องกันปลวก
เนื่องจากมีความชื้นสูงมาก
นอกจากนี้เรือนไทยมุสลิมยังแยกส่วนที่อยู่อาศัย
(แม่เรือน) ออกจากครัว โดยใช้เฉลียงเชื่อมต่อกัน
ทั้งนี้เพราะเชื่อว่าบริเวณแม่เรือนเป็นบริเวณที่สะอาด ส่วนบริเวณครัวนั้นสามารถทำสกปรกได้โดยง่ายแลยังสามารถดับเพลิงได้สะดวกเมื่อเกิดเพลิงไหม้บริเวณครัว
โดยสรุป เรือนไทยมุสลิมมีลักษณะเฉพาะตัวที่มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรม ดังนี้
1.
หลังคาเป็นหลังคาทรงสูง มีความลาดชัน
เพื่อให้น้ำฝนไหลผ่านโดยสะดวก โดยทั่วไปมี 3 แบบ คือ หลังคาจั่ว หลังคาปั้นหยา
หลังคาจั่วมนิลา มีหารต่อชายคาออกไปคลุมบันได เนื่องจากฝนตกชุกมากในบริเวณภาคใต้
2.
ไม่นิยมฝังเสาเรือนลงไปในพื้นดิน
แต่จะใช้ตอม่อหรือบานเสาที่ทำโดยไม้เนื้อแข็ง ศิลาแลง หรือเสาก่ออิฐฉาบปูนรองรับ
3.
วิธีสร้างเรือนจะประกอบส่วนต่าง ๆ
ของเรือนบนพื้นดินก่อนแล้วจึงยกส่วนโครงสร้างต่าง ๆ
ขึ้นประกอบเป็นตัวเรือนอีกทีหนึ่ง การสร้างเรือนวิธีนี้ทำให้สะอาดในการย้ายบ้าน
ซึ่งนิยมย้ายบ้านทั้งหลังโดยใช้คนหาม โดยถอดส่วนที่มีน้ำหนักมากออกเสียก่อน เช่น
ฝา กระเบื้องมุงหลังคา ฯลฯ
4.
ไม่นิยมสร้างรั้วกั้นบริเวณเรือน แต่จะปลูกไม้ผล เช่น
มะพร้าว มะม่วง ขนุน กล้วย เพื่อให้ร่มเงา และเป็นการแสดงอาณาเขตของบ้านเรือน
ซึ่งนิยมสร้างแยกกันเป็นหลัง ๆ
5.
การวางตัวเรือนจะหันหน้าเข้าหาเส้นทางสัญจรทั้งทางน้ำและทางบก
ซึ่งสามารถรับลมบกและลมทะเลได้
6.
นอกจากเรือนพักอาศัยแล้ว
ยังมีอาคารประกอบบ้านเรือนอีกได้แก่ “ศาลา” ซึ่งมีรูปทรงของหลังคาคล้อยตามความนิยมของรูปแบบเรือนพักอาศัย
เช่น หลังคาจั่ว หลังคาปั้นหยา ศาลาเหล่านี้จะสร้างขึ้นตามลักษณะการใช้สอย เช่น
ใช้ประชุมหรือพบปะสังสรรค์ของชาวบ้านศาลาใช้สำหรับเป็นที่หลบแดดฝนระหว่างเดินทาง
7.
สถานที่หรืออาคารประกอบตัวเรือนจะอำนวยความสะดวกในหารประกอบอาชีพของชาวใต้
เช่น เรือนชาวนาจะมียุ้งข้าวขนาดเล็กสำหรับเก็บข้าวเปลือกไว้หน้าบ้าน
เรือนชาวสวนยางพาราจะมีโรงสำหรับทำน้ำยางให้เป็นแผ่นและที่ตากยาง
เรือนชาวประมงจะมีที่ตากปลา เป็นต้น
เรือนไทยมุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้
เรือนไทยมุสลิมในจังหวัดปัตตานี
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์
ปัตตานีได้ชื่อว่าเป็นเมืองศูนย์กลางของวัฒนธรรมอิสลาม
ซึ่งสืบทอดมาตั้งแต่ครั้นบรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน
วัฒนธรรมดังกล่าวมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นภาษา
ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ ตลอดจนการดำรงชีวิตและที่สำคัญคือสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น
เนื่องจากปัตตานีมีพื้นที่ติดชายฝั่งตะวันออกคือ
อ่าวไทย และมีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดยะลาและนราธิวาส หมู่บ้านของชาวไทย
มุสลิมในจังหวัดปัตตานีจึงมีลักษณะหลากหลาย ทั้งหมู่บ้านชาวประมง ชาวสวนยางพารา
ชาวนา และชาวสวนผลไม้ ทำให้รูปแบบการตั้งถิ่นฐานของชุมชนมีครบทั้ง 3 รูปแบบ กล่าวคือ
·
แบบเป็นกระจุก
·
แบบกระจัดกระจาย
·
แบบเรียงรายไปตามแนวชายฝั่งทะเล หรือเส้นทางสัญจร
ในฐานะที่ปัตตานีเป็นศูนย์กลางการค้าขายทางทะเลมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
รูปแบบสถาปัตยกรรมพื้นบ้านจึงมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย คือ นอกจากจะเป็นเรือนไม้ยกพื้นใต้ถุนสูง
ซึ่งเป็นลักษณะร่วมทางสถาปัตยกรรมพื้นฐานของภูมิภาคศูนย์สูตรแล้ว
ยังมีลักษณะรูปทรงหลังคาที่โดดเด่นเป็นพิเศษ โดยทั่วไปหลังคาเรือนไทยมุสลิมจะมี 3 ลักษณะ ดังนี้คือ
1.
หลังคาปั้นหยา หรือหลังคาลีมะ คำว่า “ลีมะ” แปลว่า “ห้า” หมายถึงหลังคาที่นับสันหลังคาได้
5 ล้น
เป็นรูปทรงหลังคาที่ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมแบบอาณานิคมของชาวตะวันตก
หลังคาทรงปั้นหยานี้นับได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของภาคใต้
และพบได้ทั่วไปในจังหวัดภาคใต้โดยเฉพาะในจังหวัดปัตตานี
2.
หลังคาจั่วมนิลา ชาวมุสลิมเรียกว่า “บลานอ” ซึ่งหมายถึง ชาวฮอลันดา
หลังคาแบบนี้เชื่อว่าได้รับอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมของชาวฮอลันดา
เป็นหลังคาที่มีโครงสร้างเช่นเดียวกับหลังคาปั้นหยา แต่เป็นหลังคาที่มีจั่วติดอยู่
เพื่อระบายอากาศและดูสวยงาม หลังคาบลานอนี้จะมีรูปแบบที่สวยงามกว่าแบบอื่น
เหมาะที่จะมีจั่วอย่างน้อย 3 จั่ว โดยมีหลังจั่วแฝด
และมีจั่วขนาดเล็กสร้างคลุมเฉลียงหน้าบ้านติดกับบันไดทางขึ้น
เพื่อใช้รับรองแขกอย่างไม่เป็นทางการ นอกยากนั้น
ช่างไม่ยังแสดงฝีมือเชิงช่างในการประดิษฐ์ลวดลายด้วยการแกะสลักไม้ ปูนปั้น
เป็นลวดลายประดับลวดลายประดับยอดจั่ว และมีการเขียนลายบนหน้าจั่ว
หรือตีไม้ให้มีลวดลายเป็นแสงตะวัน
3.
หลังคาจั่ว ชาวมุสลิมเรียกว่า “แมและ” เชื่อว่าได้รับอิทธิพลจากเรือนไทยภาคกลาง แต่จะมีข้อแตกต่างไปจากภาคกลาง
ตรงที่มีปั้นลมปีกนกที่ได้รับอิทธิพลจากรูปแบบสถาปัตยกรรมจากมาเลเซีย
ไม่เหมือนปั้นลมไทย ซึ่งปลายปั้นลมทั้งสองข้างจะมีเหงาปั้นลมประดับอยู่
นอกจากหลังคาทั้ง 3 แบบดังกล่าวแล้ว
เรือนชาวไทยมุสลิมโบราณในจังหวัดปัตตานียังมีลักษณะเด่น คือ
การประดิษฐ์ลวดลายไม้แกะสลักทั้งบริเวณช่องลมและประดับฝาเรือนอีกด้วย
เรือนไทยมุสลิมในจังหวัดยะลา
เรือนไทยมุสลิมในจังหวัดยะลาเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูง
หลังคาทรงจั่วมนิลาและทรงปั้นหยา แต่ทรงจั่วมนิลาจะพบมากกว่าทรงปั้นหยา เรือนหนึ่ง
ๆ จะมีทางขึ้นเรือนอย่างน้อยสองทางเสมอ เนื่องจากเวลามีกิจกรรมต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับศาสนา วัฒนธรรม และประเพณีต่าง ๆ จะมีการแยกเพศระหว่างชายและหญิง
เมื่อมีแขกมาในงาน ถ้าเป็นชายจะขึ้นเรือนทางด้านหน้า
ส่วนหญิงจะขึ้นเรือนทางด้านข้างหรือด้านหลัง
เรือนไทยมุสลิมในจังหวัดนราธิวาส
เรือนไทยมุสลิมในจังหวัดนราธิวาสมีรูปทรงของเรือนเหมือนเรือนไทยมุสลิมทั่วไปคือ
เป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูง
เสาจะวางอยู่บนตอม่อบางบ้านทำเป็นตอม่อซีเมนต์หล่ออย่างแข็งแรง
บางบ้านก็ใช้เสาไม้ขนาดใหญ่ทำตอม่อ
รูปทรงหลังคาเรือนไทยมุสลิมในนราธิวาสจะแตกต่างจากจังหวัดปัตตานีและยะลา
ตรงที่หลังคาเป็นทรงจั่วมนิลาทรงสูง เล็ก
และมีหลังคาทอดกว้างออกไปในลักษณะจั่วเดียวหรือซ้อนเรียงกัน 2 จั่ว
แล้วแต่ขนาดของเรือนว่าเล็กใหญ่แค่ไหน ซึ่งมีทั้งหลังคากระเบื้องและสังกะสี
ส่วนการใช้พื้นที่เรือนและบริเวณบ้านมีลักษณะเดียวกับเรือนในยะลาและปัตตานี
เนื่องจากเป็นกลุ่มประชากรที่มีลักษณะทางวัฒนธรรมแบบเดียวกัน
เรือนไทยมุสลิมในจังหวัดสตูล
เรือนไทยมุสลิมในจังหวัดสตูลมีลักษณะหลังคาเป็นแบบจั่วยกสูงแล้วลาดเอียงไปในแนวชายคาทั่งสองด้าน
มีลักษณะเหมือนปีกนก เพื่อให้น้ำฝนไหลผ่านได้สะดวก ความพิเศษของเรือนไทยมุสลิมในจังหวัดสตูลอยู่ที่ไม่มีฝ้าเพดาน
แต่จะนิยมทำช่องลมไว้ใต้จั่ว แม่เรือนหรือตัวเรือนหลักจะไม่มีเฉลียงหรือระเบียง
มีบันไดพาดขึ้นบ้านได้ทันที ทั้งนี้เพราะเป็นข้อห้ามตั้งแต่ครั้งโบราณว่า
เรือนเจ้านายระดับสูงเท่านั้นจึงจะมีระเบียงหรือเฉลียง ส่วนเรือนชาวบ้านสามัญจะต้องไม่เลียนแบบเรือนเจ้านาย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเรือนชาวบ้านได้มีการต่อเติมเพิ่มเฉลียงขึ้นให้คลุมบันได
เพื่อป้องกันฝนสาดและสะดวกในการใช้ประโยชน์จากพื้นที่
ประเพณีและความเชื่อในการสร้างบ้านเรือนของชาวไทยมุสลิมในอดีตจะมีประเพณีกรรมหลายอย่าง
เข้าใจว่าได้รับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์เพราะตามบันทึกและประวัติศาสตร์ก่อนหน้าที่ศาสนาจะเข้ามามีอิทธิพลประชาชนในดินแดนแถบนี้นับถือศาสนาพุทธมาก่อน
ดังนั้นเมื่อศาสนาอิสลามเข้ามา
แม้ประชาชนในแถบนี้จะนับถือศาสนาอิสลามแล้วก็ตาม แต่ประเพณีต่าง ๆ
ของศาสนาพุทธและพราหมณ์บางอย่างก็ยังเป็นที่ยึดถือและปฏิบัติอยู่
ประเพณีการสร้างเรือนไทยมุสลิมมีขั้นตอนและพิธีกรรมที่น่าสนใจดังต่อไปนี้คือ
สถานที่สร้างเรือน
การเตรียมสถานที่สร้างเรือนจะต้องเป็นพื้นดินราบเสมอกันในบริเวณที่จะสร้างเรือน
ส่วนนอกบริเวณดังกล่าวทางทิศเหนือต้องเป็นที่ดอนหรือเนิน
และทางทิศใต้ต้องเป็นพื้นที่ต่ำกว่า
อาจจะเป็นพื้นที่นาข้าวส่วนทิศตะวันออกต้องเป็นพื้นที่เสมอกันกับพื้นที่สร้างเรือน
ถ้าเลือกพื้นที่ในลักษณะที่เช่นนี้เป็นที่สร้างเรือนแล้ว
เชื่อกันว่าเมื่อสร้างเรือนอยู่ ชีวิตครอบครัวจะรุ่งเรืองอยู่เย็นเป็นสุข
การทำมาหากินจะมีโชคลาภ ได้ทรัพย์สมบัติเพิ่มพูนและฐานจะดีขึ้นตามลำดับ
แต่ถ้าหาพื้นที่ในลักษณะดังกล่าวไม่ได้
เมื่อตัดสินใจสร้างเรือนในพื้นที่ใดให้หาไม้ไผ่อ่อนที่ยังไม่แตกกิ่งใบ
ตัดเอาแต่ด้านโคนมีความยาว 1 วา
โดยวัดความยาวด้วยข้อมือของผู้ที่จะสร้างเรือนจากปลายนิ้วมือขวาถึงปลายนิ้วมือซ้าย
จากนั้นนำไปปักตรงใจกลางพื้นที่ที่จะสร้างในเวลาพลบค่ำให้ลึกลงในดิบประมาณครึ่งศอก
โดยก่อนจะปักไม้ไผ่ดังกล่าวจะต้องอ่านคัมภีร์อัลกุรอานในบท “อัลฟาตีฮะห์”
1 จบ แล้วอ่านคำสรรเสริญพระเกียรติพระบรมศาสดามูฮัมหมัด ที่เรียกว่า
“เศาะลาวาด” อีก 3 จบ เสร็จแล้วไห้อธิษฐานขอให้พระอัลเลาะห์ได้โปรดประทานให้รู้อย่างหนึ่งอย่างใดว่า
พื้นที่ที่ตั้งใจจะสร้างเรือนจะเป็นสิริมงคลหรืออัปมงคล
เมื่ออธิษฐานจบจึงปักไม้ไผ่ทิ้งไว้จนรุ่งเช้า แล้วจึงนำไม้ไผ่มาวัดความยาวใหม่
หากปรากฏว่าไม้ไผ่ยาวกว่าเดิมถือว่าพื้นที่นี้ดี หากสั้นกว่าเดิมถือว่าไม่ดี
ถ้าสร้างเรือนอยู่ครอบครัวจะแตกแยก การทำมาหากินไม่เจริญก้าวหน้าและมีอาถรรพ์
นอกจากนี้ ควรลีกเลี่ยงการปลูกเรือนคร่อมจอมปลวก ตอไม้ใหญ่หรือครอง
รวมทั้งหลีกเลี่ยงการปลูกเรือนใกล้ต้นไม้ใหญ่ ที่ดินสุสาน
และพื้นที่รูปลิ้นมีนาขนาบทั้งสองข้าง
ทิศทางของเรือน
สำหรับทิศทางของเรือนชาวมุสลิมเชื่อกันว่าไม่ควรสร้างขวางดวงตะวัน
เพราะจะทำให้ผู้อาศัยหลับนอนมีอนามัยไม่ดี
ไม่มีความจีรังยั่งยืนทางที่ดีที่สุดคือหันหน้าบ้านไปทางทิศตะวันออก
หลังบ้านอยู่ทางทิศตะวันตก อย่างไรก็ตาม ชาวมุสลิมสมัยก่อนนิยมสร้างเรือนหันหน้าบ้านไปทางทิศเหนือ
หรือทางถนนเพื่อการสัญจร ส่วนห้องนอนต้องอยู่ทางทิศตะวันตก
บางบ้านนิยมสร้างเรือนข้าว โดยเชื่อว่าเรือนข้าวมีความสำคัญต่อครอบครัว
เพราะเป็นเครื่องวัดฐานะความมั่นคงของเจ้าบ้านทำให้เกิดความเชื่อในเรื่องทิศทางและทำเลที่ปลูกสร้างเรือนข้าวต่อมาโดยเชื่อกันว่าการปลูกเรือนข้าวไว้ทางทิศตะวันออกหรือทิศใต้ของเรือนอาศัย
จะทำให้มีข้าวอุดมสมบูรณ์
ฤกษ์ยามในการปลูกเรือน
การเลือกฤกษ์ยามในวันลงเสาเรือน
เจ้าของบ้านจะต้องไปหาฤกษ์จากผู้รู้ เช่น โต๊ะอิหม่าม
ซึ่งโดยมากวันที่ที่เป็นมงคลในการเริ่มลงเสาเรือนจะถือปฏิบัติกันหลายวิธี
และวิธีหนึ่งที่นิยมปฏิบัติกันทั่วไปคือ การนับธาตุทั้งสี่อันได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม
ซึ่งมีความหมายดังนี้คือ
“ดิน” หมายถึงการทำงานเป็นไปอย่างช้า ๆ อาจจะพบปัญหาและอุปสรรค
“น้ำ” หมายถึงการทำงานอยู่ในสภาพเยือกเย็นได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น
“ไฟ” หมายถึงการทำงานอยู่ในสภาพอารมณ์ร้อน
การทำงานมีปัญหาและการทะเลาะเบาะแว้งในเครือญาติหรือเพื่อนร่วมงาน
“ลม” หมายถึงการทำงานเป็นไปอย่างรวมเร็ว ราบรื่น ไม่ค่อยมีปัญหา
มีโชคลาภและอารมณ์เย็น การนับวันว่า วันไหนจะตกตรงกับธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม
จะต้องนับตามวันทางจัทรคติดังต่อไปนี้
ดินน้ำไฟลม ขึ้น 1 ค่ำขึ้น 2 ค่ำ ขึ้น 3
ค่ำขึ้น 4 ค่ำ56789101112131415แรม 1 ค่ำแรม 2 ค่ำแรม 3
ค่ำแรม 4 ค่ำแรม 5 ค่ำ6789101112131415
วันที่นิยมสร้างเรือน ได้แก่ วันอาทิตย์ วันอังคาร วันพฤหัสบดี
ส่วนวันที่ต้องห้าม คือ วันพุธ วันเสาร์ และไม่นิยมสร้างในวันศุกร์และวันพุธปลายเดือน
ทั้งนี้การนับวันของชาวไทยมุสลิมจะนับเวลาขึ้นวันใหม่ตั้งแต่เวลา 18.01 น. ไปจนถึงเวลา 18.00 น. ของวันต่อไป
นอกจากนี้การสร้างเรือนของชาวมุสลิมจะไม่นิยมสร้างในข้างแรมของแต่ละเดือน
แต่จะนิยมสร้างข้างขึ้น สำหรับเดือนที่ถือว่ามีสิริมงคลในการเริ่มก่อสร้างเรือนมีเพียง
6 เดือนเท่านั้น
ได้แก่
1.
เดือนซอฟาร์
เชื่อกันว่าถ้าสร้างเรือนในเดือนนี้จะมีโชคลาภได้ทรัพย์สมบัติทวีคูณ
2.
เดือนยามาดิลอาวัล
เชื่อกันว่าถ้าสร้างเรือนในเดือนนี้จะมีโชคลาภ มีบริวารมากเป็นที่รู้จักในวงสังคม
3.
เดือนซะบัน เชื่อกันว่าถ้าสร้างเรือนในเดือนนี้จะได้รับยศศักดิ์และเกียรติเป็นที่เคารพนับถือจากสังคมทั่วไป
4.
เดือนรอมฎอน
เชื่อกันว่าถ้าสร้างเรือนในเดือนนี้จะมีโชคลาภและความรู้ความสามารถเพิ่มมากขึ้น
5.
เดือนซุลกีฮีเดาะห์
เชื่อกันว่าถ้าสร้างเรือนในเดือนนี้จะมีโชคลาภอย่างมหาศาล ทรัพย์สมบัติที่ได้มาจะได้สืบทอดถึงลูกหลานด้วยพร้อมกันนี้ญาติพี่น้องและมิตรสหายจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดยิ่งขึ้นอาหารการกินสมบูรณ์ตลอด
ส่วนเดือนอื่น ๆ อีก 6 เดือน ถือว่าเป็นเดือนไม่ดี
ความหลีกเลี่ยงการลงเสาเรือน เพราะจะพบกับอุปสรรคต่าง ๆไม่จบสิ้น
การยกเสาเอก
โดยปกติบ้านหลังหนึ่งจะมี
6 เสา
เวลาลงเสาจะลงหมดทั้งหมดทั้ง 6 เสาพร้อมกัน
แต่ถือว่าเสากลางด้านทิศเหนือเป็นเสาเอก ซึ่งเรียกตามภาษาพื้นเมืองว่า “เตียงซือรี” ก่อนลงเสาทั้ง 6 ต้องใช้เหรียญบาทติดไว้ที่โคนทุกเสา
แต่ถ้าเจ้าบ้านเป็นคนฐานะดี อาจติดทองคำด้วย ทั้งนี้ด้วยความเชื่อว่าเมื่อติดเหรียญทองคำที่โคนเสาแล้ว
จะได้นั่งบนกองเงินกองทอง ทำมาหากินดี มีเงินเหลือเก็บและฐานะดีขึ้นเรื่อย ๆ
สำหรับเสาเอก เวลาลงเสาจะต้องเอาผ้าแดง 1 ผืน
กล้ามะพร้าวที่มีใบ 3-4 ใบ จำนวน 1 ต้น
รวงข้าวประมาณ 1 กำมือ ทองคำจำนวนหนึ่งโดยปกติใช้สร้อยคอทองคำหนัก
2 สลึง 1 เส้น ผูกไว้ที่เสาเอกเป็นเวลา
3 วันจึงเอาออก
(ส่วนทองคำหลังจากลงเสาแล้วจะเอาออกทันทีเพราะกลัวขโมย)
การสร้างเรือน
เมื่อเจ้าของเรือนตกลงเลือกสถานที่สร้างได้แล้ว
ก็ถึงขั้นตอนการสร้างเรือน โดยเจ้าของบ้านจะต้องตกลงกับช่างไม้ในเรื่องขนาดแบบเรือน
ค่าใช้จ่าย และอื่น ๆ เพราะเรือนที่สร้างจะไม่มีการเขียนแบบแปลน
แต่อาศัยความชำนาญของช่างแต่ละคน โดยทั่วไปมีแบบและขั้นตอนการสร้างดังนี้
1.
ขนาดของตัวเรือนขึ้นอยู่กับจำนวนเสา โดยมากนิยมสร้างเสา 6,9 และ 12 เสา สำหรับตัวเรือนแต่เดิมนิยมสร้างเป็นแบบเรือนแฝดมีชานกลางเชื่อมตัวเรือนหลักเข้ากับครัว
แต่ต่อมานิยมสร้างเป็นตัวเรือนเดี่ยว ความกว้างของเรือนนิยมสร้าง 7 หรือ 10 ศอก แต่ไม่นิยมสร้างเรือน 8 ศอก โดยวัดจากช่วงข้อศอกถึงปลายนิ้วกลาง ยกเว้นข้อศอกสุดท้ายจะกำมือ
ส่วนบันไดนิยมความกว้างเป็นเลขคี่ เช่น 3, 5,7 จะไม่นิยมลงเลขคู่
เพราะถือว่าเป็นบันไดผี นำความอัปมงคลมาสู่ผู้อยู่อาศัย
2.
ความสูงของตัวเรือน
นิยมสร้างโดยยกพื้นใต้ถุนสูงพอคนลอดได้ หรือไม่เกิน 2 เมตร
เพื่อใช้ใต้ถุนเป็นที่เก็บของ ทำเป็นคอกสัตว์ที่นั่งเล่น
และใช้เป็นที่ประกอบอาชีพเสริม เช่น สานเสื่อ ทำกรงนกเขาชวา ฯลฯ
3.
พื้นเรือน มักตีพื้นลดหลั่นกันตามประเภทการใช้สอย
โดยแบ่งออกเป็น 5 ระดับ
ได้แก่ จากบันไดสู่ชาน
จากชานสู่ระเบียงใช้เป็นที่รับแขกจากระเบียงยกระดับสูงขึ้นเป็นพื้นห้องโถงใหญ่และห้องนอน
ลดระดับลงมาเป็นพื้นครัว ถ้าครอบครัวฐานะดีจะใช้ไม้กระดานตีให้ห่าง เพื่อระบายลมและเทน้ำทิ้ง
ถ้าครอบครัวฐานะยากจนจะใช้ไม้ไผ่ตีเป็นฟากจากครัวลดระดับลงมาเป็นชานซักล้างอยู่ติดกับบันไดหลังบ้าน
4.
การกั้นห้องและพื้นที่สำหรับละหมาดเรือนไทยมุสลิมจะกั้นห้องเฉพาะใช้นอนเท่านั้น
นอกนั้นปล่อยเป็นพื้นที่โล่ง ใช้เป็นที่รับแขกและพิธีต่าง ๆ เช่น แต่งงาน
งานเมาลิด ฯลฯ แต่เนื่องจากบัญญัติของศาสนาอิสลาม
ชาวไทยมุสลิมจะต้องทำละหมาดทุกวัน ๆ ละ 5 ครั้ง
ทุกบ้านจึงต้องกั้นพื้นที่ส่วนหนึ่งไว้สำหรับทำละหมาดโดยใช้เกณฑ์ดังนี้คือ
- ต้องมีฝาหรือผ้าม่านกั้นไม่ให้คนเดินผ่าน
- ต้องอยู่บนเรือนหลัก
- ต้องหันหน้าไปทางทัศตะวันตก
การสร้างตัวเรือนหลัก
เมื่อทำพิธียกเสาเอกแล้ว
จะยกเสาที่เหลือขึ้น จากนั้นจึงติดตั้งโครงสร้างเรือน
โดยประกอบโครงหลังคาบนดินก่อน แยกประกอบขึ้นเป็นตัวเรือน ตีแปแล้วขึ้นมุงหลังคา
ก่อนวางตงแล้วตีพื้น จากนั้นจึงตีราวฝา ติดตั้งวงกบประตู หน้าต่าง ตีฝา แล้วต่อระเบียงหน้าบ้าน
ต่อครัวไปทางด้านหลัง เมื่อเสร็จตัวเรือนแล้วจึงติดตั้งบันไดหน้าบ้านและหลังบ้าน
เมื่อสร้างเรือนเสร็จแล้วนิยมขุดบ่อน้ำไว้ใช้อุปโภค
โดยนิยมขุดบ่อไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน
และสร้างที่อาบน้ำไว้บริเวณใกล้บ่อน้ำ เพราะแต่เดิมไม่นิยมสร้างส้วมหรือห้องน้ำไว้ในตัวเรือน
6
การประดับตกแต่งตัวเรือน
เรือนไทยมุสลิมดั้งเดิมจะไม่ทาสี
แต่จะใช้น้ำมันไม้ทาเพื่อป้องกันปลวก
ส่วนการประดับตกแต่งตัวเรือนขึ้นอยู่กับฐานะของเจ้าบ้าน
หากมีฐานะดีจะประดับตัวเรือนด้วยไม้ฉลุเป็นลวดลายประดับยอดจั่ว ช่องลม และเชิงชาย
“ดิน” หมายถึงการทำงานเป็นไปอย่างช้า ๆ อาจจะพบปัญหาและอุปสรรค
“น้ำ” หมายถึงการทำงานอยู่ในสภาพเยือกเย็นได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น
“ไฟ” หมายถึงการทำงานอยู่ในสภาพอารมณ์ร้อน การทำงานมีปัญหาและการทะเลาะเบาะแว้งในเครือญาติหรือเพื่อนร่วมงาน
“ลม” หมายถึงการทำงานเป็นไปอย่างรวมเร็ว ราบรื่น ไม่ค่อยมีปัญหา มีโชคลาภและอารมณ์เย็น การนับวันว่า วันไหนจะตกตรงกับธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม จะต้องนับตามวันทางจัทรคติดังต่อไปนี้
ดินน้ำไฟลม ขึ้น 1 ค่ำขึ้น 2 ค่ำ ขึ้น 3 ค่ำขึ้น 4 ค่ำ56789101112131415แรม 1 ค่ำแรม 2 ค่ำแรม 3 ค่ำแรม 4 ค่ำแรม 5 ค่ำ6789101112131415 วันที่นิยมสร้างเรือน ได้แก่ วันอาทิตย์ วันอังคาร วันพฤหัสบดี ส่วนวันที่ต้องห้าม คือ วันพุธ วันเสาร์ และไม่นิยมสร้างในวันศุกร์และวันพุธปลายเดือน ทั้งนี้การนับวันของชาวไทยมุสลิมจะนับเวลาขึ้นวันใหม่ตั้งแต่เวลา 18.01 น. ไปจนถึงเวลา 18.00 น. ของวันต่อไป
- ต้องมีฝาหรือผ้าม่านกั้นไม่ให้คนเดินผ่าน
- ต้องอยู่บนเรือนหลัก
- ต้องหันหน้าไปทางทัศตะวันตก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น